Health

  • โรคเชื้อราที่เล็บ มีอาการอย่างไร และสามารถรักษาให้หายหรือไม่
    โรคเชื้อราที่เล็บ มีอาการอย่างไร และสามารถรักษาให้หายหรือไม่

    โรคเชื้อราที่เล็บ คือการติดเชื้อรา โดยส่วนใหญ่เป็นแล้วมักจะไม่มีอาการอะไร ความผิดปกติของเล็บอาจสร้างปัญหาให้แต่ไม่ต้องเร่งด่วนรักษาได้ เพราะการรักษาต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหรืออาจเป็นปี จัดเป็นโรคที่รักษาได้ไม่ง่ายนัก แต่โรคเชื้อราที่เล็บก็สามารถรักษาหายได้

    โรคเชื้อราที่เล็บ คืออะไร

    โรคเชื้อราที่เล็บ (onychomycosis) หมายถึง  การติดเชื้อราซึ่งรวมถึงราที่เป็นสายรา  หรือ  เชื้อราในรูปของยีสต์ (ราที่มีลักษณะเป็นเซลล์กลม) ที่เล็บ  โดยปกติแล้วเชื้อราที่กล่าวมานี้มีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือการเพาะเชื้อรา เป็นต้น

    ในประเทศไทยชนิดของเชื้อราที่พบบ่อยๆ คือ เชื้อกลากแท้(dermatophytes) เชื้อกลากเทียม (non-dermatophytes) และเกิดจากยีสต์(yeasts) โดยเฉพาะเชื้อแคนดิดา (Candida)

    ลักษณะและอาการของโรคเชื้อราที่เล็บ

    โรคเชื้อราที่เล็บโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการอะไร ผู้ป่วยบางรายอาจมีรอบเล็บบวมแดง โดยเฉพาะนิ้วมือที่ต้องโดนน้ำบ่อยๆ ซึ่งเกิดจากเชื้อยีสต์   แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาในการรักษาโรคมักจะเป็นโรคเชื้อราที่เล็บอันเนื่องมา จากเชื้อกลากแท้ หรือ เชื้อกลากเทียมซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการอะไร บางรายปล่อยไว้นานหลายปี จนเล็บมีการเปลี่ยนแปลงมากจึงมาพบแพทย์  หรือมาพบแพทย์ด้วยเหตุอื่นๆ แล้วได้รับการส่งตัวมาพบแพทย์ผิวหนังเนื่องจากตรวจพบเล็บผิดปกติ

    ความผิดปกติที่เล็บนั้น พบว่าเล็บเท้าพบได้บ่อยกว่าเล็บมือ และเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก โดยเฉพาะพบในผู้สูงอายุที่อาจมีโรคร่วมอื่นๆ เกิดอยู่ด้วยกันได้

    ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจมีการติดเชื้อราที่ผิวหนังร่วมด้วย เช่น เชื้อราที่เท้า หรือ เชื้อราที่ผิวหนังส่วนอื่นที่กระจายออกไปกว้าง หรือผู้ป่วยบางส่วนอาจมีผลแทรกซ้อนตามมาหลังการติดเชื้อรา เช่น เล็บขบ เล็บขบอักเสบติดเชื้อ หรือ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

    ลักษณะที่สังเกตของโรคเชื้อราที่เล็บนั้นมีได้หลายประการ ที่สำคัญคือ จำนวนของเล็บที่มีการเปลี่ยนแปลงจะพบไม่มาก มีเล็บที่เป็นโรคเพียงประมาณ 1 – 3 เล็บ โดยเล็บที่ติดเชื้ออาจพบลักษณะหนาตัวขึ้น มีขุยหนาใต้เล็บ มีสีเล็บที่เปลี่ยน แปลงไป หรือเล็บที่แยกตัวออกมาจากฐานเล็บ อาจเห็นเป็นโพรงหรือช่องว่างใต้เล็บ 

    โรคที่มักสร้างความสับสนกับทั้งผู้ป่วย แพทย์ หรือ บุคคลทั่วไปคือโรคสะเก็ดเงินที่เล็บซึ่งเล็บที่เห็นจะมีลักษณะการเปลี่ยน แปลงที่คล้ายกับเชื้อราที่เล็บ แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อราแต่อย่างใด

    จะทราบได้อย่างไรเป็นเชื้อราที่เล็บ

    การที่จะวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บนั้น จะต้องอาศัยลักษณะของเล็บที่มีความผิดปกติดังที่ได้กล่าวแล้ว ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การขูดขุยจากเล็บไปตรวจหาเชื้อรา การเพาะเชื้อรา และจำแนกเชื้อราก่อโรคที่เล็บ ในผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะเชื้อกลากเทียม  แพทย์อาจต้องตรวจทางห้องปฏิบัติ การซ้ำ โดยเฉพาะการเพาะเชื้อรามากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค

    การขูดเล็บจะกระทำโดยการตัดเล็บส่วนนอกทิ้ง และนำขุยที่ได้จากส่วนเล็บซึ่งเป็นโรคนำมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐาน ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บปวดหรือเลือดออกแต่ประการใด หลังจากนั้นจะนำขุยที่ได้จากเล็บไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยใช้สารละลายด่าง potassium hydroxide หากเป็นโรคเชื้อราที่เล็บจะพบลักษณะสายรา

    การตรวจทางห้องปฏิบัติการนี้มีความจำเป็นอย่างมากในการวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บ เพราะเล็บที่มีความผิดปกติอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อราที่เล็บเสมอไปผู้ป่วยหลายรายที่เล็บผิดปกติแต่ไม่ใช่โรคเชื้อราที่เล็บ ทำให้ผู้ป่วยอาจได้ยารับประทานโดยไม่มีความจำเป็น และอาจเกิดผลข้างเคียงตามมาได้

    การวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บ

    โรคเชื้อราที่เล็บมีความผิดปกติอาจสร้างปัญหาให้ผู้ป่วย แต่ก็ไม่ใช่ภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบรักษา การรักษาเชื้อราที่เล็บต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหรืออาจเป็นปี จัดเป็นโรคที่รักษาได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็เป็นโรคที่สามารถรักษาได้

    ก่อนเริ่มการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บแพทย์จะตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค นอกจากนั้นแพทย์อาจต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่จะทำให้การรักษาโรคเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะเชื้อกลากเทียม ซึ่งเชื้อนี้มักจะดื้อต่อการรักษาด้วยยารับประทานรักษาเชื้อราเป็นต้น

    โรคเชื้อราที่เล็บแม้เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถรักษาได้ แต่บางครั้งการรักษานั้นอาจไม่ง่าย หากมีลักษณะบางอย่างเกิดร่วมอยู่ด้วย เช่น เล็บติดเชื้อราลามกว้างมากกว่าร้อยละ 50 ของเนื้อเล็บ ติดเชื้อบริเวณด้านข้างของเนื้อเล็บ เล็บที่มีความหนาตัวมากกว่า 2 มิลลิเมตร พบแถบสีเหลือง  สีส้มหรือสีขาวเป็นเส้นในเนื้อเล็บ ซึ่งบ่งถึงการมีก้อนเชื้อราอัดแน่นอยู่ใต้เล็บ เนื้อเล็บถูกทำลายทั้งหมด ติดเชื้อกลุ่มที่ไม่ใช่กลากแท้โดยเฉพาะเมื่อเป็นเชื้อกลากเทียมบางชนิด ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทั้งจากโรคประจำตัวหรือยาที่ได้รับ ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหลอดเลือดส่วนปลายร่วมด้วย ฯลฯ

    โรคเชื้อราที่เล็บ

    วิธีการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บ

    1. การใช้ยารับประทาน  มียารักษาเชื้อราโดยการรับประทานหลายชนิด โดยทั่วไปแล้วมีประสิทธิภาพการรักษาสูง สามารถ รักษาความผิดปกติของเล็บที่เป็นโรคได้ทุกๆ เล็บ รวมถึงเท้า และฝ่าเท้าที่เป็นโรคได้ แต่การใช้ยารับประทานจะได้ผลดีกับโรคโดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อกลากแท้หรือเชื้อยีสต์บางชนิด การใช้ยารับประทานบางชนิดต้องระวังผลข้างเคียงของยาเช่น การแพ้ยา ผลต่อตับและไต ผลของยาอื่นที่กระทบกับการรักษาเช่น การรับประทานยาลดไขมันบางชนิดควบคู่ด้วย หรือการได้ยาลดกรด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมของยา เป็นต้น

    2. การใช้ยาทาเฉพาะที่ เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัย ยาทามีหลายรูปแบบ เช่น ชนิดที่เป็นสารละลาย หรือชนิดที่เป็นยาทาเคลือบเล็บ ซึ่งยาทาบางชนิดสามารถทาที่เล็บสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำให้มีความสะดวกในการใช้ยา การเลือกรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่นั้นจะใช้ได้ดีโดยเฉพาะโรคเชื้อราที่เล็บที่มีจำนวนเล็บไม่มากนัก และไม่มีลักษณะที่ทำให้เกิดการรักษาได้ยาก เช่น มีรอยโรคเชื้อราที่ลามไปถึงโคนเล็บ การรักษาโดยการใช้ยาทาเฉพาะที่ที่เล็บ อาจต้องใช้ยาทาอื่นๆ ร่วมด้วย หากผู้ป่วยมีรอยโรคร่วมที่เท้า เช่น ที่ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วเท้า เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เฉพาะที่เล็บที่ทายาเท่านั้น

    3. การใช้วิธีการอื่นๆ ในการรักษา การใช้แสงเลเซอร์รักษาเชื้อราที่เล็บ หรือเครื่องมือทางกายภาพบางชนิดในการรักษา หรือร่วมการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บ หรือการใช้ครีมหรือสารเคมีที่ช่วยเสริมการรักษาโรค หลายวิธีแม้ยังเป็นวิธีการใหม่ แต่ก็มีผลการศึกษายืนยันความเป็นไปได้  ให้การรักษาที่ให้ผลดีและปลอดภัย

    การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำได้ตามวิธีหลักๆ ได้แก่

    • การถอดเล็บ – จะรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์อาจแนะนำให้ถอดเล็บ ควบคู่ไปกับการทานยาต้านเชื้อรา
    • การใช้ยาทานต้านเชื้อรา – โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้รับประทานต้านเชื้อราทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาต้านเชื้อราอาจมีผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น ทำให้ปวดหัว รู้สึกคัน ท้องร่วง เป็นต้น
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่ – ผู้ป่วยจะได้ยาทาสำหรับใช้ภายนอก มีทั้งแบบที่เป็นสารละลาย และ ยาทาเคลือบเล็บ โดยทาลงบนเล็บที่มีเชื้อรา
    • การรักษาทางเลือกใหม่ – ปัจจุบันมีงานวิจัยในการศึกษาวิธีการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บด้วยวิธีใหม่ๆ เช่น การใช้อัลตร้าซาวด์, การใช้เลเซอร์ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จากการรักษาเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ให้ข้อมูลเพียงพอต่อผลลัพธ์ในระยะยาว

    การป้องกันโรคเชื้อราที่เล็บ

    โดยทั่วไปสามารถป้องกันการติดเชื้อราที่เล็บได้ จากการลดปัจจัยดังนี้

    • หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่าบนพื้นที่ชื้น น้ำขัง เช่น ห้องอาบน้ำ สระว่ายน้ำ
    • ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
    • สวมรองเท้าและถุงเท้าจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อการระบายอากาศบริเวณเท้าได้ดี
    • สวมรองเท้าที่ใส่แล้วกำลังพอดี ไม่คับจนเกินไป
    • ใช้ถุงเท้าที่สะอาดอยู่เสมอ
    • หากเป็นโรคน้ำกัดเท้า ต้องรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรักษา ป้องกันเชื้อราลุกลาม

     

    โรคเชื้อราที่เล็บ การป้องกันที่ดีคือการดูแลสุขภาพเท้า การตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี ไม่ควรเดินเท้าเปล่าโดยเฉพาะในที่สาธารณะที่ใช้ของร่วมกัน ไม่ควรใช้วิธีตัดเซาะหรือเลาะเล็มส่วนด้านข้างของเล็บ หรือให้ช่างทำเล็บตัดเล็บอย่างไม่ถูกวิธี เพราะทำให้เกิดเล็บขบ ติดเชื้อแทรกซ้อนเพิ่มเติม เช่นเดียวกับการเลือกชนิดรองเท้าที่เหมาะสม ไม่ควรรัดแน่น อับชื้น หรือเปิดปลายเท้าและต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการดูแลสุขภาพเท้าโดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานหรือใน ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการมองเห็น การเคลื่อนไหว การมีความผิด ปกติของโครงสร้างเท้าร่วมด้วย การได้รับยาอื่นๆ หลายชนิด ฯลฯ การใช้ยารักษาเชื้อราชนิดรับประทาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาอื่นๆ ที่ได้ร่วมกันโดยเฉพาะยากลุ่มลดไขมันหรือโรคประจำตัว อื่นที่มีร่วมอยู่

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

     

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  fsea-iaddconf.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • Rishi Sunak ปกป้องการตอบสนองเมื่อค่าพลังงานพุ่งสูงขึ้น
    Rishi Sunak ปกป้องการตอบสนองเมื่อค่าพลังงานพุ่งสูงขึ้น

    โดยทั่วไปแล้ว ครัวเรือนหลายล้านแห่งจะจ่ายเงินเพิ่มเป็น 693 ปอนด์ต่อปีสำหรับค่าพลังงานของพวกเขาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่นายกรัฐมนตรี Rishi Sunak กล่าวว่าแผนการสนับสนุนของเขาจะช่วย “กัด” ไม่ให้เพิ่มขึ้น

    ค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจะบีบคั้นผู้คนที่ต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นและภาษีที่สูงขึ้น

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าความช่วยเหลือ 350 ปอนด์ต่อครัวเรือนจะ “บรรเทา” ความกังวลของผู้คนเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้น

    แต่โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

    แม้ว่ารัฐบาลจะเสียค่าใช้จ่าย 9 พันล้านปอนด์ในปีนี้ แต่ผู้มีรายได้เฉลี่ยก็ยังมีแนวโน้มว่าจะแย่กว่าปีที่แล้วถึง 400 ปอนด์ พอล จอห์นสัน ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาการคลังผู้มีอิทธิพลกล่าวว่า เนื่องจากการขึ้นภาษีและอัตราเงินเฟ้อผสมผสานกัน

    มากกว่าครึ่งหนึ่งของแพ็คเกจการสนับสนุนเป็น “เงินกู้ที่มีประสิทธิภาพ”

    นายจอห์นสันกล่าวเสริม ราคาขายส่งก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าผู้ควบคุม Ofgem มีหน้าที่ต้องประกาศเพิ่มขีดจำกัดที่บริษัทต่างๆ สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคในอังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์

    เพดานที่สูงขึ้นหมายความว่าครัวเรือนทั่วไปจะจ่าย 1,971 ปอนด์ต่อปีตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งมากกว่าที่จ่ายตอนนี้ 54% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนตุลาคม

    การขึ้น 693 ปอนด์ต่อปีจะส่งผลกระทบต่อ 22 ล้านครัวเรือน โดยลูกค้า 4.5 ล้านรายที่ใช้มาตรการชำระเงินล่วงหน้าต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นที่มากกว่าเดิมถึง 708 ปอนด์ต่อปี

    นายสุนัคกล่าวว่าครอบครัวส่วนใหญ่จะได้รับเงินจำนวน 350 ปอนด์เพื่อช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับราคาที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 150 ปอนด์เท่านั้นที่จะมาถึงเมื่อค่าพลังงานเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน

    “ฉันเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ 350 ปอนด์ มันเป็นเงินจำนวนมากที่จะสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับครัวเรือนส่วนใหญ่ และฉันคิดว่าจริงๆ แล้ว ผู้คนจะได้รับความมั่นใจเมื่อเราก้าวเข้ามา “อธิการบดีกล่าว

    การลดหย่อนภาษีของสภา

    ใช้กับบ้านในแถบ A ถึง D ซึ่งครอบคลุมประมาณ 80% ของครัวเรือน ซึ่งนายจอห์นสันกล่าวว่าหมายความว่าเป็นเป้าหมายที่ “หลวมมาก” สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

    เงินอีก 200 ปอนด์จะถูกหักออกจากค่าพลังงานตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ครัวเรือนจะจ่ายคืนเป็นงวดตั้งแต่ปี 2566

    Rishi Sunak ปกป้องการตอบสนองเมื่อค่าพลังงานพุ่งสูงขึ้น

    ล้านคนเพื่อรับส่วนลดค่าพลังงานสูงถึง 350 ปอนด์
    ‘เราจะจ่ายอะไรแพงขนาดนี้ได้อย่างไร’
    ค่าพลังงานที่สูงขึ้นถูกกำหนดให้มีบทบาทสำคัญในสิ่งที่สถาบันวิจัย Resolution Foundation ได้อธิบายว่าเป็น “หายนะค่าครองชีพ” ที่ผู้คนทั่วสหราชอาณาจักรต้องเผชิญในปีนี้

    แม้ว่าค่าจ้างจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่เติบโตเร็วพอที่จะชดเชยกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 30 ปี การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีในเดือนเมษายน รวมถึงอัตราการประกันแห่งชาติที่สูงขึ้น

    รายได้หลังหักภาษีคาดว่าจะลดลง 2% ในปีนี้

    หลังจากคำนึงถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น นี่แสดงถึงการลดลงของค่าจ้างซื้อกลับบ้านครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในปี 2533

    ในวันพฤหัสบดี ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% เป็น 0.5% เพื่อพยายามชะลอการขึ้นของราคาในระยะยาว แต่ธนาคารกล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงถึง 7.25% ในเดือนเมษายน

    หลายคนบอกว่าพวกเขาต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับราคาที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึง Michael Ball วัย 24 ปี จาก Kirkcaldy

    เขาจ่ายค่าไฟผ่านมิเตอร์จ่ายล่วงหน้าในแฟลตที่เขาอาศัยอยู่ แต่เขากลับไปบ้านพ่อแม่เพื่อซักผ้าเพื่อประหยัดเงิน

    “ผมกังวลเรื่องเงินมาก มันเป็นภาระใหญ่ และข่าวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวล” เขากล่าว

    เขาบอกว่าเขาอาจต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่หากค่าไฟยังคงเพิ่มขึ้น

    “ถ้าฉันสูญเสียความเป็นอิสระ พื้นที่ของตัวเอง ฉันกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการเงินและสุขภาพจิตของฉันอย่างไร”

    โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่าเงินคืน 200 ปอนด์จะมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า 5.6 พันล้านปอนด์ ในขณะที่ส่วนลดภาษีของสภาจะทำให้รัฐบาลเสียค่าใช้จ่าย 3.6 พันล้านปอนด์ในปี 2565-23

    ราเชล รีฟส์ นายกรัฐมนตรีเงาของพรรคแรงงานวิจารณ์นายสุนักที่ไม่ยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าพลังงาน

    เธอกล่าวว่าแม้นายกรัฐมนตรีจะให้คำมั่นสัญญา แต่ “ความจริงที่น่าอึดอัดใจ” คือครอบครัวในอังกฤษจะยังคงจ่ายค่าพลังงานเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยปอนด์หลังจากเดือนเมษายน

    เธออธิบายแผนดังกล่าวว่าเป็น “โครงการซื้อตอนนี้จ่ายทีหลังซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับวันพรุ่งนี้”

    วิธีการทำงานของราคาพลังงานสูงสุด
    ขีด จำกัด ซึ่งประกาศทุก ๆ หกเดือนกำหนดราคาที่ซัพพลายเออร์สามารถเรียกเก็บสำหรับพลังงานแต่ละหน่วยรวมถึงค่าใช้จ่ายคงที่ จากนั้นจะถูกแปลเป็นค่ารายปีที่คาดไว้สำหรับครัวเรือนที่ใช้ก๊าซและไฟฟ้าในปริมาณปกติ

    ไม่ได้หมายความว่ามีการจำกัดจำนวนเงินที่ผู้คนสามารถจ่ายได้ ยิ่งใช้แก๊สและไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ค่าไฟฟ้าก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

    ราคาพลังงานสูงสุดคืออะไรและทำไมจึงเพิ่มขึ้น

    ใครก็ตามที่ใช้อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรมาตรฐานซึ่งข้อตกลงคงที่สิ้นสุดลงแล้ว (หรือกำลังจะสิ้นสุดลง) และผู้ที่ย้ายออกไปเนื่องจากซัพพลายเออร์รายเก่าของพวกเขาหยุดทำงานจะได้รับผลกระทบจากอัตราสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น

    นักวิเคราะห์แนะนำว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปในหมวกซึ่งกำหนดไว้ในเดือนตุลาคมอาจเพิ่มเงินอีกหลายร้อยปอนด์ให้กับใบเรียกเก็บเงินทั่วไปในฤดูหนาวที่จะถึงนี้

    มีขีดจำกัดแยกต่างหากสำหรับ 4.5 ล้านคนในมาตรการชำระเงินล่วงหน้า ซึ่งจะมีการเพิ่มขึ้นจาก 1,309 ปอนด์ต่อปีเป็น 2,017 ปอนด์ในเดือนเมษายนสำหรับค่าครัวเรือนทั่วไป

    บริษัทพลังงานกำลังดิ้นรนภายใต้น้ำหนักของราคาขายส่งก๊าซที่พุ่งสูงขึ้น ขีดจำกัดใหม่จะช่วยให้พวกเขาส่งผ่านต้นทุนบางส่วนไปยังลูกค้าได้

    การประกาศของ Ofgem ถูกนำเสนอโดยเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการประสานงานในการประกาศเกี่ยวกับค่าครองชีพ

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    คลื่นฮีทเวฟ ร้อนจัดสูงสุด 45 องศาเซลเซียส ทำอินเดียดับพุ่ง

    นิวคาสเซิ่ล จบท็อปโฟร์หลังเสมอกับเลสเตอร์

    รีวิวเกลือและการเสียสละ – Mage Hunter (1)

    ดาวเด่น ที่โค่นนักวิจารณ์และอคติเพื่อชนะการแข่ง NBA

    ประวัติศาสตร์ อายุ 2,200 ปีเผยความลับของแร้งแอนเดียน

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ fsea-iaddconf.com